ไอบีเอ็มเผย5นวัตกรรมที่จะเปลี่ยนชีวิตคนในอีก5ปีข้างหน้า

ไอบีเอ็มเผย5นวัตกรรมที่จะเปลี่ยนชีวิตคนในอีก5ปีข้างหน้า

flickr:8472034947

ไอบีเอ็มเผยรายงาน IBM 5 in 5 ฉบับล่าสุดกับ 5 นวัตกรรมเมื่อเราได้ก้าวสู่ยุคที่คอมพิวเตอร์สามารถรับรู้ รูป รส กลิ่น เสียง
และสัมผัส ที่จะเปลี่ยนอนาคตการทำงาน การใช้ชีวิต และการติดต่อสื่อสารของคนเราในอีก 5 ปีข้างหน้า…

สิ่งที่ไอบีเอ็มกล่าวไว้ในรายงาน IBM 5 in 5 "ไอบีเอ็ม ไฟว์ อิน ไฟว์" ปีนี้ คือ นวัตกรรมคอมพิวติ้งที่ไอบีเอ็มเรียกว่า ระบบที่มีกระบวนการรับรู้ หรือ Cognitive Systems ที่จะทวีบทบาทและเป็นรากฐานสำคัญของคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ ที่สามารถเรียนรู้ ปรับตัว รับรู้ และสัมผัสโลกของเราในแบบที่เป็นอยู่ได้ ในอีก 5 ปีข้างหน้า คอมพิวเตอร์จะสามารถเลียนแบบประสาทสัมผัสของมนุษย์ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ทุกปี นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิจัยและพัฒนาของไอบีเอ็มทั่วโลกจะร่วมกันศึกษาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีใหม่ๆ และคาดการณ์แนวโน้มทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะมีอิทธิพลต่อสังคมและธุรกิจโลก โดยจัดทำเป็นรายงาน “ไอบีเอ็ม ไฟว์ อิน ไฟว์” นำออกเผยแพร่ทั่วโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 7 แล้ว สำหรับปีนี้ นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มเน้นการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีก้าวล้ำที่จะช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวและเลียนแบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ ที่เป็นก้าวย่างสำคัญสู่ยุคสมัยใหม่ของคอมพิวติ้ง ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตเราในอนาคตอันใกล้นี้

flickr:8473126000

การสัมผัส: คุณจะสามารถสัมผัสผ่านโทรศัพท์ของคุณ ในอีก 5 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมต่างๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยความสามารถในการ “สัมผัส” ผลิตภัณฑ์ผ่านอุปกรณ์พกพา ว่าที่เจ้าสาวจะสามารถเลือกชุดแต่งงานได้โดยสัมผัสเนื้อผ้าซาตินหรือผ้าไหมที่ใช้ตัดเย็บรวมถึงผ้าลูกไม้ที่ใช้คลุมหน้าได้จากหน้าจอแทบเล็ต ขณะที่แม่บ้านจะสามารถสัมผัสลูกปัดหรือเส้นไหมที่ใช้ถักทอผ้าห่มผืนใหญ่ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมท้องถิ่นของชนพื้นเมืองในอีกซีกโลกหนึ่งได้เพียงแค่ลากนิ้วผ่านหน้าจอโทรศัพท์
ขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มกำลังใช้เทคโนโลยีการรับรู้โดยใช้แรงป้อนกลับ อินฟราเรด และความไวต่อแรงกด เพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับธุรกิจค้าปลีก การแพทย์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ วัตถุทุกประเภทจะมีชุดรูปแบบของการสั่นไหวเฉพาะ ที่มอบประสบการณ์การสัมผัสสมจริงเวลาที่ผู้บริโภคลากนิ้วผ่านภาพสินค้าบนหน้าจออุปกรณ์พกพา เช่น การสั่นไหวสั้นๆ อย่างรวดเร็ว หรือการสั่นไหวที่แรงขึ้นและต่อเนื่องเป็นเวลานาน รูปแบบการสั่นไหวนี้จะกระตุ้นประสาทสัมผัสทางกายภาพของผู้บริโภคและช่วยจำแนกความแตกต่างระหว่างผ้าไหมกับผ้าฝ้ายหรือผ้าลินิน ทำให้ผู้บริโภครู้สึกราวกับได้สัมผัสกับวัสดุนั้นจริงๆ ทั้งนี้การใช้เทคโนโลยีนี้อย่างกว้างขวางในอนาคต จะส่งผลให้โทรศัพท์มือถือกลายเป็นเครื่องมือที่เราใช้ปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบๆ ตัว

flickr:8473126042

การมองเห็น: ภาพหนึ่งพิกเซลจะมีคุณค่ามากกว่าหลายถ้อยพันคำ ข้อมูลจาก Digital Media Analysis, Search and Management workshop, 2/27-2/28, 2012 และ You Tube ระบุว่าเราถ่ายภาพ 500,000 ล้านภาพต่อปี และทุกๆ นาที เราอัพโหลดวิดีโอ 72 ชั่วโมงไปยัง YouTube มูลค่าตลาดภาพเพื่อการวินิจฉัยทางการแพทย์ทั่วโลกก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่ทุกวันนี้ ข้อมูลส่วนใหญ่หรือเนื้อหาที่แท้จริงของภาพยังคงเป็นปริศนา เพราะคอมพิวเตอร์ยังมีเพียงความสามารถในการรับรู้จากข้อความหรือชื่อภาพที่เราตั้งให้เท่านั้น ใน 5 ปีข้างหน้า นอกจากระบบต่างๆ จะสามารถตรวจสอบและรับรู้เนื้อหาของรูปภาพตลอดจนข้อมูลภาพได้แล้ว ยังจะสามารถแปลงพิกเซลให้กลายเป็นความหมาย และเริ่มตีความได้เหมือนที่คนเราทำเวลามองดูรูปภาพ ความสามารถที่ “เหมือนสมอง” นี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์คุณลักษณะต่างๆ เช่น สี รูปแบบพื้นผิว หรือข้อมูลบริบท และกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกจากสื่อที่เป็นรูปภาพ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ วงการแพทย์ ธุรกิจค้าปลีก และเกษตรกรรม ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถในการ “มองเห็น” และได้รับการ “ฝึกฝน” นี้ จะช่วยแพทย์วิเคราะห์และกลั่นกรองรายละเอียดที่ลึกซึ้งหรือไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในภาพถ่ายทางการแพทย์อาทิ ภาพถ่าย MRI ภาพจาก CT Scan ฟิล์มเอ็กซเรย์ และภาพอัลตราซาวด์ โดยจะช่วยแยกแยะความแตกต่างระหว่างเนื้อเยื่อปกติกับเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ และเชื่อมโยงสิ่งที่ตรวจพบเข้ากับข้อมูลเวชระเบียนและเอกสารอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์จำนวนมหาศาล ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบปัญหาของผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

flickr:8473126142

การได้ยิน: คอมพิวเตอร์จะได้ยินสิ่งที่สำคัญ ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะจะตรวจจับองค์ประกอบของเสียงต่างๆ เช่น ความดันของเสียง ความสั่นสะเทือน ความอัดแน่นในเนื้อวัตถุ และคลื่นเสียงที่มีความถี่หลายระดับ ในแนวทางที่คล้ายกับกับสมองของมนุษย์ และนำ “แบบแผนข้อเท็จจริง” อื่นๆ ดังเช่นข้อมูลภาพหรือสัมผัส เข้ามาพิจารณาประกอบกันเพื่อจำแนกและแปลความหมายของเสียงเหล่านั้นตามแนวทางที่เคยได้รับรู้ล ในกรณีที่ตรวจพบเสียงใหม่ๆ ระบบก็จะสรุปข้อมูลอ้างอิงที่มีอยู่ พร้อมใช้ความสามารถในการจำแนกแบบแผนต่างๆ ช่วยให้เราสามารถเข้าใจความหมายของเสียงที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ เทคโนโลยีในการตรวจจับองค์ประกอบเสียงนี้ จะทำให้เราสามารถคาดการณ์เหตุอันตรายจากดินถล่มหรือต้นไม้ล้มในป่าเพื่อเตือนภัยได้อย่างทันท่วงที ทำให้พ่อแม่สามารถเข้าใจ “เสียงพูดของทารก” ในรูปแบบของภาษา ตีความพฤติกรรมหรือความต้องการของเด็กทารก เช่น สิ่งที่เด็กทารกต้องการสื่อสารจากเสียงพูดอ้อแอ้ ความรู้สึกร้อน เหนื่อย หิว หรือเจ็บปวดจากเสียงร้องงอแง เป็นต้น โดยระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลเสียงเหล่านั้นเข้ากับข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึกและสรีรศาสตร์อื่นๆ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ชีพจร และอุณหภูมิร่างกายในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถในการวิเคราะห์น้ำเสียงและระดับเสียงสูง-ต่ำของคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้แต่สำเนียงที่ส่อถึงความลังเลในการสนทนาต่างๆ ช่วยให้เราสามารถปรับการสนทนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือปรับปรุงแนวทางการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้บริการของเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการลูกค้า หรือช่วยให้การติดต่อสื่อสารกับคนต่างชาติ ต่างภาษา และต่างวัฒนธรรมเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มได้เริ่มบันทึกระดับเสียงต่างๆ ใต้ผิวน้ำในบริเวณอ่าวกัลเวย์ ประเทศไอร์แลนด์ โดยใช้เซ็นเซอร์ใต้น้ำตรวจจับคลื่นเสียงและส่งไปทำการวิเคราะห์ที่ระบบรับข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเสียงและแรงสั่นสะเทือนของอุปกรณ์แปลงพลังงานคลื่น รวมถึงผลกระทบที่อุปกรณ์เหล่านี้มีต่อสัตว์ทะเล

flickr:8473126192

การลิ้มรส: ปุ่มรับรสดิจิตอลจะช่วยให้คุณรับประทานอาหารอย่างชาญฉลาดขึ้น ในอีก 5 ปีข้างหน้า คอมพิวเตอร์จะสามารถใช้อัลกอริธึมเพื่อระบุโครงสร้างทางเคมีที่แม่นยำของอาหาร ปฏิกิริยาที่สารเคมีต่างๆ มีต่อกัน ความซับซ้อนทางโมเลกุลของสารประกอบที่ก่อให้เกิดรสชาติ โครงสร้างที่เชื่อมโยงโมเลกุลเหล่านั้นเข้าด้วยกัน และสาเหตุที่ทำให้ผู้คนชื่นชอบรสใดรสหนึ่งเป็นพิเศษ ร่วมกับองค์ความรู้ด้านจิตวิทยาที่อธิบายรสชาติและกลิ่นที่มนุษย์ชื่นชอบ จากนั้นจึงนำไปเปรียบเทียบกับสูตรอาหารหลายล้านสูตร เพื่อคาดการณ์รสชาติที่ดึงดูดใจตลอดจนสร้างส่วนผสมของรสชาติแบบใหม่ เช่น รสชาติของเกาลัดคั่วที่ปรุงร่วมกับบีทรูทต้มสุก ไข่ปลาคาเวียร์ และแฮมตากแห้ง เป็นต้น ระบบดังกล่าวจะนำเสนอรูปแบบการจับคู่อาหารที่แปลกออกไป ทั้งยังช่วยสร้างประสบการณ์ของรสและกลิ่นที่ดีขึ้น ช่วยให้เราสามารถปรุงอาหารเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติถูกปากและถูกโภชนาการยิ่งขึ้น การสร้างสรรค์รสชาติแปลกใหม่จะทำให้เราอยากกินผักลวกต้มมากกว่าแผ่นมันฝรั่งอบกรอบ สำหรับผู้ที่มีความต้องการพิเศษในทางโภชนาการ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เทคโนโลยีดังกล่าวก็จะช่วยพัฒนารสชาติและสูตรอาหารที่หวานถูกปากแต่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ในขณะเดียวกัน

flickr:8473126224

การดมกลิ่น: คอมพิวเตอร์จะสามารถดมกลิ่นได้ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เซ็นเซอร์ขนาดจิ๋วในคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือจะสามารถ “ดม” และจำแนกกลิ่นที่ปกติหรือผิดปกติ และวิเคราะห์ร่วมกับตัวบ่งชี้ทางชีวภาพและโมเลกุลนับพันในลมหายใจของเรา เพื่อบอกได้ว่าเรากำลังป่วยเป็นไข้หวัดหรือโรคอื่นๆ หรือไม่ เซ็นเซอร์นี้ยังจะช่วยให้แพทย์สามารถตรวจสอบ และวินิจฉัยอาการของโรคต่างๆ เบื้องต้นได้ อาทิ ความผิดปกติของตับและไต โรคหอบหืด โรคเบาหวาน และโรคลมบ้าหมู รวมทั้งทำให้เกษตรกรสามารถวิเคราะห์สภาพดินที่ใช้ในการเพาะปลูก ความสามารถของเทคโนโลยีในตรวจวัดข้อมูลในพื้นที่ที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อน จะทำให้เราสามารถเข้าตรวจสอบปัญหาชุมชนแออัด สุขอนามัย และมลภาวะ เพื่อระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาร้ายแรง ขณะที่การใช้เครือข่าย “Mesh” ไร้สายจะช่วยให้เซ็นเซอร์สามารถรวบรวมและตรวจวัดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีต่างๆ พร้อมเรียนรู้และปรับเข้าหากลิ่นใหม่ๆ ได้ในขณะเดียวกัน ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มได้เริ่มนำนวัตกรรมนี้ไปใช้ในการรับรู้สภาวะแวดล้อมและก๊าซเพื่ออนุรักษ์ผลงานศิลปะ และประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาสุขอนามัยในสถานพยาบาล ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาที่ท้าทายที่สุดของแวดวงการแพทย์ ดังกรณีของเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus หรือ MRSA ที่มักพบทั่วไปบนผิวหนังและแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรง เชื้อนี้สามารถต้านทานยาเมธิซิลลินและเป็นสาเหตุในการคร่าชีวิตผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลในสหรัฐฯ เกือบ 19,000 คน เมื่อปี 2548 ซึ่งต่อมาพบว่าวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ในการต่อสู้กับเชื้อนี้ในสถานพยาบาลได้ คือ การกำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนปฏิบัติตามแนวทางการรักษาสุขอนามัยในสถานพยาบาลอย่างเคร่งครัด แต่ในอีกห้าปีข้างหน้า เทคโนโลยีของไอบีเอ็มจะสามารถเข้ามาช่วย “ดม” พื้นผิวที่ผ่านการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และระบุว่าห้องนั้นๆ สะอาดพอแล้วหรือยัง โดยที่บุคลากรและผู้ป่วยไม่ต้องเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

flickr:8472035291

สรุปบทความ

IBM in 5 สรุปรายงานเกี่ยวกับ 5 นวัตกรรม ในอีก 5 ปีข้างหน้าเมื่อเราได้ก้าวสู่ยุคที่คอมพิวเตอร์สามารถรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง
และสัมผัส ที่จะสามารถเปลี่ยนอนาคตการทำงาน การใช้ชีวิต และการติดต่อสื่อสารของคนเราได้ โดยนวัตกรรมคอมพิวติ้งที่ไอบีเอ็มเรียกว่า ระบบที่มีกระบวนการรับรู้ หรือ Cognitive Systems ซึ่งคอมพิวเตอร์จะสามารถเลียนแบบประสาทสัมผัสของมนุษย์ ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส เช่น
การสัมผัส: ในอีก 5 ปีข้างหน้า คุณจะสามารถสัมผัสผ่านโทรศัพท์ของคุณได้โดยผ่านอุปกรณ์พกพา เช่น ว่าที่เจ้าสาวจะสามารถเลือกชุดแต่งงานได้โดยสัมผัสเนื้อผ้าซาตินหรือผ้าไหมที่ใช้ตัดเย็บรวมถึงผ้าลูกไม้ที่ใช้คลุมหน้าได้จากหน้าจอแทบเล็ต
การมองเห็น: ใน 5 ปีข้างหน้า ภาพหนึ่งพิกเซลจะมีคุณค่ามากกว่าหลายถ้อยพันคำและยังสามารถ ระบุว่าเราถ่ายภาพ จำนวนเท่าไหร่ต่อปี และทุกๆ นาที เราอัพโหลดไปยัง YouTube นอกจากระบบต่างๆ จะสามารถตรวจสอบและรับรู้เนื้อหาของรูปภาพตลอดจนข้อมูลภาพได้แล้ว ยังจะสามารถแปลงพิกเซลให้กลายเป็นความหมาย และเริ่มตีความได้ เหมือนสมองและยังจะช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์คุณลักษณะต่างๆ เช่น สี รูปแบบพื้นผิว หรือข้อมูลบริบท และกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกจากสื่อที่เป็นรูปภาพ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ วงการแพทย์ ธุรกิจค้าปลีก และเกษตรกรรม เช่น จะช่วยแพทย์วิเคราะห์และกลั่นกรองรายละเอียดที่ลึกซึ้งหรือไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในภาพถ่ายทางการแพทย์ซึ่ง ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบปัญหาของผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
การได้ยิน: ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะจะสามารถตรวจจับองค์ประกอบของเสียงต่างๆ เช่น ความดันของเสียง ความสั่นสะเทือน ความอัดแน่นในเนื้อวัตถุ และคลื่นเสียงที่มีความถี่หลายระดับ ในแนวทางที่คล้ายกับกับสมองของมนุษย์ และนำข้อมูลเข้ามาพิจารณาประกอบกันเพื่อจำแนกและแปลความหมายของเสียงเหล่านั้นตามแนวทางที่เคยได้รับรู้ ช่วยให้เราสามารถเข้าใจความหมายของเสียงที่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ เทคโนโลยีในการตรวจจับองค์ประกอบเสียงนี้ จะทำให้เราสามารถคาดการณ์เหตุอันตรายจากดินถล่มหรือต้นไม้ล้มในป่าเพื่อเตือนภัยได้อย่างทันท่วงที ทำให้พ่อแม่สามารถเข้าใจ “เสียงพูดของทารก” ในรูปแบบของภาษา ตีความพฤติกรรมหรือความต้องการของเด็กทารกได้ ความสามารถในการวิเคราะห์น้ำเสียงและระดับเสียงสูง-ต่ำของคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก หรือแม้แต่สำเนียงที่ส่อถึงความลังเลในการสนทนาต่างๆ ช่วยให้เราสามารถปรับการสนทนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การลิ้มรส: ในอีก 5 ปีข้างหน้าปุ่มรับรสดิจิตอลจะช่วยให้คุณรับประทานอาหารอย่างชาญฉลาดขึ้น คอมพิวเตอร์จะสามารถใช้อัลกอริธึมเพื่อระบุโครงสร้างทางเคมีที่แม่นยำของอาหาร ให้ผู้คนชื่นชอบรสใดรสหนึ่งเป็นพิเศษ สามารถเปรียบเทียบกับสูตรอาหารหลายล้านสูตร เพื่อคาดการณ์รสชาติที่ดึงดูดใจตลอดจนสร้างส่วนผสมของรสชาติแบบใหม่ เช่น รสชาติของเกาลัดคั่วที่ปรุงร่วมกับบีทรูทต้มสุก ไข่ปลาคาเวียร์ และแฮมตากแห้ง เป็นต้น ระบบดังกล่าวจะนำเสนอรูปแบบการจับคู่อาหารที่แปลกออกไป ทั้งยังช่วยสร้างประสบการณ์ของรสและกลิ่นที่ดีขึ้น ช่วยให้เราสามารถปรุงอาหารเพื่อสุขภาพที่มีรสชาติถูกปากและถูกโภชนาการยิ่งขึ้น
การดมกลิ่น: ในช่วง 5 ปีข้างหน้า คอมพิวเตอร์จะสามารถดมกลิ่นได้ เซ็นเซอร์ขนาดจิ๋วในคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือจะสามารถ “ดม” และจำแนกกลิ่นที่ปกติหรือผิดปกติ และวิเคราะห์ร่วมกับตัวบ่งชี้ทางชีวภาพและโมเลกุลนับพันในลมหายใจของเรา เพื่อบอกได้ว่าเรากำลังป่วยเป็นไข้หวัดหรือโรคอื่นๆ หรือไม่ เซ็นเซอร์นี้ยังจะช่วยให้แพทย์สามารถตรวจสอบ และวินิจฉัยอาการของโรคต่างๆ เบื้องต้นได้

บทวิเคราะห์

จากบทความ IBM in 5 เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่เรียกว่า Cognitive Systems มาช่วยในการเพิ่มประสาทสัมผัสของมนุษย์ในโลกออนไลน์ ที่ปัจจุบันจำกัดอยู่แค่เพียง ทางตาผ่านการมองเห็น ทางหูผ่านการได้ยิน เท่านั้นแต่ในอนาคตสิ่งที่จะตามมา คือ การสัมผัส การได้กลิ่นอการรับรู้รส นวัตกรรมนี้หากเกิดขึ้นได้จริง จะยิ่งเป็นการย่อโลกให้เล็กลง ทั้งการติดต่อสื่อสารส่วนบุคคล และเพิ่มช่องทางการทำธุรกิจอย่างมาก ไม่ว่าเป็นการ ธุรกิจประเภทได้ก็ตาม ทั้งนี้ ประสาท สัมผัสของมนุษย์ในการใช้ชีวิต ทั้ง 5 เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจในการซื้อสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง และหากสามารถทำได้ในโลกออนไลน์ทั้ง 5 ประสาทสัมผัส พร้อมๆกัน จะช่วยร่นระยะเวลา ในการเดินทาง การตัดสินใจและเพิ่มความน่าสนใจ ให้มากยิ่งขึ้น โลกของการค้าออนไลน์ก็จะขยายตัวเป็นอย่างมากหากเทคโนโลยีได้นำมาใช้ได้จริง ทั้งในการติดต่อธุรกรรมต่างๆหรือการติดต่อสื่อสารส่วนตัว ก็จะสามารถทำได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น คาดว่า เทคโนโลยี้นี้จะช่วยลดการเดินทางเพื่อติดต่อสื่อสาร หรือทำธุรกรรมต่างๆได้ และส่งผลพลอยได้ด้านอื่นๆอีก เช่น ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดมลพิษ ทางการเดินทาง เพื่อไปชมสินค้า หรือ บริการ อีกด้วย
และเทคโนโลยีที่คิดว่า เป็นประโยชน์และน่าจะมาพัฒนาต่อให้เหมาะกับประเทศไทยในปัจจุบัน คือ การศึกษาในด้านต่างๆ เพราะในเขตที่อยู่ห่างไกลบุคลากรไม่เพียงพอ แต่ถ้ามีระบบนี้เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางในการเรียนรู้ ให้มากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่รับข้อมูล การศึกษาก็จะไม่ได้ยากอย่างที่คิดประเทศก็ยังสามารถพัฒนาประชาชนให้มีการศึกษาได้มาก และอีกด้านหนึ่งที่มีประโยชน์มากเช่นกันคือ ทางการแพทย์ ในการวินิจฉัยโรค การมีแค่แพทย์ผู้ที่เชี่ยวชาญที่มักจะประจำอยู่แค่ในเมืองใหญ่นั้นทำให้การ รักษาผู้ป่วยไม่ทั่วถึง ถ้าใช้ระบบนี้เข้ามาช่วยในอนาคตการให้บริการด้านการแพทย์ทำได้ดีมากยิ่งขึ้น แม่นยำมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องเดินทางไปไกลให้ลำบาก ก็สามารถที่จะรักษาโรคได้ทุกคน

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ 22 มกราคม 2556, 06:30 นhttp://www.thairath.co.th/content/tech/321703

Unless otherwise stated, the content of this page is licensed under Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 License